วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แนะนำทีม เวิลด์ คัพ 2010 : เยอรมัน


อดีตแชมป์โลก 3 สมัย เยอรมัน เข้ารอบสุดท้ายมาบรรเลงเพลงแข้งที่ แอฟริกาใต้ ด้วยความคาดที่ค่อนข้างสูงหวังจากสื่อมวลชน และแฟนบอล หลังจากพกดีกรีชนะเลิศในปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์ , 1974 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ และ 1990 ที่อิตาลี่ "อินทรีเหล็ก"นำทีมโดยกุนซือหนุ่ม โยอาคิม เลิฟ ที่มุ่งหวังเป็นอย่างมากที่จะพาทีมคว้าถ้วยฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่สี่ให้ได้




ทีมชาติเยอรมันมีผู้เล่นที่ประสบการณ์สูงหลายคน และถึงแม้ทีมอาจจะไม่มีเทคนิคแพรวพราว แต่ด้วยแท็คติกบวกกับความเป็นเลือดนักสู้ที่ไม่เคยท้อ แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทำให้ขุนพลอินทรีเหล็กฝ่าฝันเข้ารอบลึกๆมาได้ทุกครั้ง สิ่งที่น่าจับตามองมากสำหรับพวกเขาในทัวร์นาเมนต์ก็คือ มิชาเอล บัลลัค กัปตันจอมอาภัพที่พยายามอยู่หลายครั้ง เพื่อจะคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ หลังจากได้รองแชมป์เมื่อปี 2002 ที่เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม รวมทั้งปี 2006 ก็ได้เพียงอันดับ 3 ในบ้านเกิดตัวเอง และถึงยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์ ทีมจากเมืองเบียร์ก็ได้เพียงรองแชมป์เช่นกัน



ไม่เพียงเท่านั้น มิชาเอล บัลลัค นอกจากจะโด่งดังไปเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เขายังถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ยอดกัปตันทีมชาติเยอรมันระดับตำนานที่เคยพาทีมชูถ้วยฟุตบอลโลกมาแล้วอย่าง ฟริตท์ วอล์เตอร์, ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ และ โลธ่า มัทเธอุส อีกด้วย "อินทรีเหล็ก"ยังฝากความหวังกับดาวยิงของทีม มิโรสลาฟ โคลเซ่ ที่มักจะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก รวมทั้ง ฟิลิปปส์ ลาห์ม, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และ ลูคัส โพดอสกี้


เส้นทางสู่แอฟริกาใต้ 2010




ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010 เยอรมันถูกจับให้อยู่ในกลุ่ม 4 ทีมใส้กรอกทำแต้มหล่นเพียง 2 เกม ในนัดที่พบกับ ฟินแลนด์ ทั้งเหย้าและเยือน โดยเกมแรกบุกไปเสมอ 3-3 ถึงเฮลซินกิ ซึ่งเป็น มิโรสลาฟ โคลเซ่ ทำแฮตทริกฮีโร่ในเกมนั้นด้วย และกลับมาเสมอกันอีกครั้งที่ฮัมบวร์ก 1-1 ในเกมสุดท้ายของรอบคัดเลือก อย่างไรก็ตาม เยอรมันก็ตบเท้าเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยการเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม ทิ้งทีมอันดับรองลงมาอย่าง รัสเซีย, ฟินแลนด์, เวลส์, อาเซอร์ไบจัน และ ลิกเท่นสไตน์ ตกรอบตามระเบียบ



สองเกมที่สร้างความประทับใจให้ทีมชาติเยอรมันก็คือการชนะรัสเซียทั้งไปและกลับ ซึ่งเป็นการแย่งเข้ารอบกันโดยตรง และเกมที่สุดสำคัญในนัดก่อนสุดท้ายเมื่อขุนพลอินทรีเหล็กบุกไปชนะรัสเซีย 2-1 ถึงมอสโกว์ นับเป็นเกมแรกที่รัสเซียพลาดท่าแพ้ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ก่อนจะพลาดท่าแพ้สโลเวเนียในรอบเพลย์ออฟตกรอบไปอย่างเจ็บปวด รูปแบบการเล่นภายใต้การคุมทัพของ โยอาคิม เลิฟ เน้นเกมบุกที่ดุดันมากขึ้นต่อเนื่องมาจากชุดของ เจอร์เก้น คลิ้นท์มัน ในปี 2006 ที่มีเกมบุกน่าตื่นตาตื่นใจ

นักเตะที่น่าจับตามอง




ก็ไม่ใช่ใครอื่น ห้องเครื่องจากสโมสรเชลซี มิชาเอล บัลลัค กัปตันจอมอาภัพของทีม ดาวเตะวัย 33 ปี ติดทีมชาติทั้งหมด 97 ครั้ง และพยายามอย่างเต็มที ที่จะพาทีมชาติของตัวเองคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ หลังพลาดมาหลายครั้งตั้งแต่ รองแชมป์โลกปี 2002 และ ยูโร 2008 เชื่อกันว่าในมหกรรมที่แอฟริกาใต้ครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา เพราะด้วยอายุที่มากเกินไปแล้ว



มิโรสลาฟ โคลเซ่ ยอดดาวยิงเจ้าของสถิติ 48 ประตู จาก 93 นัด ทำให้ศูนย์หน้ารายนี้กลายเป็นดาวซัลโวตลอดกาลอันดับที่ 3 ในนามทีมชาติ ตามหลัง แกร์ด มุลเลอร์(68 ประตู) และ โจอาคิม สแตรช (55 ประตู) และจอมถล่มประตูจากสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ก็คงเป็นที่ถูกจับตาอย่างมากในทัวร์นาเมนต์นี้ ขณะที่เพื่อนร่วมสโมสรอย่าง ฟิลิปปส์ ลห์ม และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ก็ถูกเพ่งเล็งไม่แพ้กัน หลังทัมร์นาเมนต์ก่อนๆโชว์ฟอร์มได้ทุกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น